Title: Life in Different Sound
Fandom: Katekyo Hitman Reborn ! (c) Amano Akira
Paring: 1859 (Hibari * Gokudera)
Rating: PG13
Author: Devilz79
--------
T r a c k 1 : ร่
ม -----------------------------------------------
“ฝนตก...”
“อื้ม รู้”
บทสนทนาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบทสนทนาดังออกจากปากของเด็กหนุ่มร่างสูงเจ้าของผมสีดำเหมือนดวงตา
กับเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เงยหน้ามองฟ้าด้วยดวงตาสีเขียวใส
สายตาสีดำเหลือบมองคนข้างๆ ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่ได้พูดด้วย’ แต่ว่าร่างเล็กกลับมัวแต่ชะเง้อคอมองออกไปข้างนอกที่ฝนไม่ได้มีทีท่าว่าจะซาลงบ้างเลย
ข้อมือเล็กที่คาดด้วยนาฬิกาเรือนใหญ่สีเข้มถูกพลิกขึ้นมามอง
แล้วสองเท้าก็ย่ำกับที่ไปมาเหมือนหนูติดจั่น และมันพาให้คนที่ยืนข้างๆ
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“อะไร?” เมื่อโมโหกับฝนไม่ได้
อารมณ์ก็พาลจะลงกับคนที่ยืนข้างๆ เสียอย่างนั้น
แต่อีกฝ่ายก็ได้แต่มองแล้วส่ายหน้าราวกับไม่อยากจะมีเรื่องในวันที่บรรยากาศแบบนี้
สองร่างที่ยืนใต้อาคารเรียนเดียวกัน
แต่ว่าท่าทางดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เฮ้ย รับสิวะ...” เสียงบ่นพึมพำเรียกให้ร่างสูงหันไปมอง
ใบหน้ายับย่นที่แสดงกับโทรศัพท์มือถือในมือนั้นก็พอจะเรียกให้เขาหัวเราะออกมาในลำคอ...คนอะไร
แสดงทุกอย่างที่รู้สึกออกมาทางสีหน้า “โธ่เว้ย
แล้วจะยิ้มหาอะไร?”
ทำเสียงฟึดฟัดแล้วยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม
ก่อนจะหันมาใส่อารมณ์กับคนที่ยืนข้างๆ...ที่ริมฝีปากไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
...อ้าว ก็เขารู้สึกชัดๆ
ว่าเจ้านี่มันกำลังยิ้มอยู่อ่ะ !
คนเสียงดังปิดปากนิ่ง แล้วเสหน้ามองออกไปเบื้องนอก
ตั้งใจที่จะไม่สนใจคนตัวสูงกว่าที่ยืนหน้านิ่งได้ตลอดศก
ไม่รู้ว่าพอใจหรือไม่พอใจกับไอ้ฝนบ้าที่มันเทลงมาแบบไร้กาลเทศะแบบนี้ แต่ที่แน่ๆ
เขาไม่พอใจ เมื่อไรฝนมันถึงจะหยุดตกซะทีเนี่ย...
ครืนนน ---
เสียงฟ้าคำรามขึ้นมา
พาให้คนที่ทำตัวขยุกขยิกสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่ใบหน้าได้รูปนั้นจะยับย่นหนักกว่าเดิม
เมื่อเสียงที่ตามมาคือเสียงน้ำฝนที่ซัดลงมาแบบไม่เกรงใจผู้คนบ้างเลย
ดวงตากลมเผลอเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ถัดจากตัวเองแล้วอดไม่ได้จะทำตาเขียวใส่อย่างไม่มีเหตุผล
ก็มันหงุดหงิด อยากออกไปจากที่ตรงนี้ซะที !!
เด็กหนุ่มตัวสูงกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความรำคาญเล็กๆ
กับสายตาที่จ้องมองมา
ฝนตกแบบนี้เขาขี้เกียจจะเปียกเพราะว่าต้องทะเลาะกับเจ้าบ้าที่เอาแต่ทำตัวน่าปวดหัว
ลำตัวยาวเบี่ยงให้พ้นจากการมองของอีกคนหนึ่ง สายตามองเลยไปยังมุมตึกที่ถูกปิดประตูทางเข้า
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูเวลา
แล้วพบว่าคลื่นสัญญาณที่มันควรเต็มกลับลดขีดหายไปหมด
มิน่าไอ้ตัวเล็กข้างๆ
ถึงได้ทำท่าหงุดหงิดแบบนั้น ติดต่อใครก็ไม่ได้
ใครติดต่อมาก็ไม่ได้...พวกสุมหัวน่ารำคาญ
“จะตกอีกนานมั้ยเนี่ย” ไม่ใช่เสียงหงุดหงิดโมโห
แต่เป็นเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นมาแทน คนฟังหันหน้าจะไปมอง
แต่ว่าคนตัวเล็กนั้นก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว “...ฉันเบื่อแล้วนะเว่ย
ไอ้ฝนบ้า !” บ่นกระแทกเสียงรวมกับใบหน้าบูดบึ้งเหมือนเด็กๆ
ไหนจะท่านั่งยองๆ ไปกับพื้นอีกล่ะ รวมๆ แล้วนั่นมีอาการของเด็กห้าขวบไม่ใช่หรือไง ?
“เดี๋ยวมันก็หยุดตกเองแหละน่า”
น้ำเสียงนิ่งเรียบดังแทรกเสียงเม็ดฝนกระทบดิน
พาให้คนในระดับต่ำกว่าเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ...สาบานเถอะ
ว่านี่คือเสียงของเจ้านี่น่ะ ! มันพูดได้...โอ่ววว เขาไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย
เห็นยืนเงียบมาตั้งนาน
ร่างในชุดนักเรียนแต่มีสูทสีดำคลุมปรายสายตามองคนที่จ้องเขาไม่ละก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ
จนอยากจะยกนิ้วขึ้นมาถูจมูกเพื่ออะไรสักอย่าง
ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดด้วยเพียงแต่เห็นท่าทางแล้วน่ารำคาญ
“นายก็พูดได้อ่ะ
ไม่ต้องรีบไปไหนเหมือนฉันซะหน่อย”
คนฟังส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจว่าจะไม่สร้างบทสนทนากับเจ้าคนแปลกหน้าที่นั่งมองน้ำฝนหยดลงในแอ่งน้ำจนเกิดเป็นวงกว้างกระจายไปเรื่อยๆ
“....ก็แค่ปีนี้ ถ้าฉันทำมันทันน่ะ....” พึมพำเสียงเบาเหมือนกับพูดคนเดียวมากกว่า
แต่เพราะความเงียบนอกจากเสียงฝนแล้ว มันก็บังคับให้คนที่ยืนอยู่ได้ยินเสียงอ่อยๆ
นั้น “เว้ยย ! แล้วเมื่อไรจะหยุดตกเนี่ย
ไม่เบื่อหรือไงตกอยู่ได้” แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไปฉับพลัน
เมื่ออยู่ๆ คนผมเงินก็ลุกขึ้นมาแล้วเตะอากาศ โวยวายเสียงดัง
“จะยิ้มอะระ....”
หันหน้าตั้งใจจะตวาดใส่คนข้างๆ แต่ว่าคำพูดก็ต้องชะงักไปเมื่อใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ยังเป็นแบบเดิม
ทำไมเขาถึงคิดว่าคนผมดำเขายิ้มอยู่นะ ?
ดวงตาเรียวของร่างสูงมองคนที่หยุดเสียงไปก่อนจะหัวเราะในลำคอ
แล้วขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้า เรียกความแปลกใจให้กับคนที่มองตาม
“เฮ้ย !!!!” คนผมเงินส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
เมื่อคนที่เดินไปนั้นกำลังจะออกนอกตัวอาคารทั้งที่ฝนยังซัดกระหน่ำอยู่แบบนั้น
คนบ้าหรือบ้ากันแน่ คิดจะเดินออกไปตอนนี้ ไอ้เปียกก็ไม่เท่าไร
แต่แรงของน้ำฝนที่สาดใส่ตัวนี่สิ...
“น่ารำคาญ” เสียงนิ่งแบบเดิมดังขึ้นมา
แล้วเจ้าตัวก็เดินดิ่งออกไปกลางสายฝน ทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความงุนงง
มือเรียวเอื้อมจะไปคว้า แต่มันก็ดูว่าจะช้าเกินไป...ทำไงได้อ่ะ ก็ตกใจนี่หว่า
เดี๋ยวนะ...แล้วไอ้เจ้าบ้านั่นบอกว่าน่ารำคาญงั้นเหรอ
...มันบ้าจริงๆ ด้วย
แค่รำคาญถึงกับยอมเดินตามฝนเนี่ย เป็นเขา
ก็คงเลือกที่จะปิดปากไอ้ตัวน่ารำคาญนั่นซะมากกว่า
คนตัวบางหันซ้ายหันขวา
แล้วมองตามร่างที่ยังพอเห็นลางๆ อยู่ในเงาของสายฝน แต่อยู่ๆ
สายตาก็ไปสะดุดกับวัตถุบางอย่างที่มันอิงอยู่ติดกับผนังของตัวตึก
ข้างประตูที่ถูกปิดเอาไว้
...ร่ม ?
ร่างเล็กกระพริบตาถี่ด้วยความประหลาดใจเป็นกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ของวันนี้
เขาไม่ได้สนใจที่จะหันไปมองทางนั้น
แต่เขาเห็นว่า...มีแวบนึงที่เจ้าบ้านั่นหันไปมอง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นร่ม...ทั้งที่เห็นแต่ทิ้งไว้แล้วเดินออกไปตัวเปียกแบบนั้นน่ะนะ
?
ผมสีเงินสะบัดตามแรงหันของใบหน้า
มือเรียวยาวเอื้อมหยิบร่มแล้วกางมันออกอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะรีบกระโจนออกไปกลางสายฝนที่ซะลงมาไม่ขาดสาย
สองตากวาดมองเพื่อหาร่างที่คาดว่าคงจะไปได้ไกลไม่นานเท่าไร
แต่ความหนาของสายฝนก็ทำให้มองยากขึ้นไปอีก
เขาไม่เข้าใจว่าเขาจะตามหาอีกคนทำไม
เหมือนกับที่เขาก็ไม่เข้าใจว่า...ทำไมเจ้านั่นถึงทิ้งร่มเอาไว้
ปลายเท้าที่ชุ่มน้ำฝนก้าวเดินออกไปพลางหยุดแล้วหันมองรอบๆ
ตัว เพื่อสำรวจหาร่างในชุดสีดำที่อย่างน้อยๆ
ก็น่าจะเห็นได้ชัด...เขาหวังว่าเขาคงจะเห็น เมื่อไม่เห็น เท้าก็ออกย่ำน้ำต่อ
เขาเชื่อว่าฝนแรงขนาดนี้ เจ้าสีดำคงไปไหนได้ไม่ไกลนักหรอก
สองขายาวก้าวเดินต่อออกไปข้างหน้า
ยังใช้สายตาสอดส่องหาเสื้อคลุมสีดำที่มันเป็นสิ่งเดียวที่พอให้สังเกตได้
เหงื่อมันไหลชุ่มเต็มใบหน้า บางทีอาจจะเป็นจากน้ำฝนด้วยละมั้ง
ร่างเล็กใช้แขนเสื้อขึ้นปาดเอาน้ำบนใบหน้าออก แต่เมื่อเนื้อผ้าสัมผัสกับหน้า
ก็รู้ได้ทันทีว่า...
ตอนนี้ตัวเขาก็เปียกไปด้วยน้ำฝนแล้ว
ให้ตายเถอะ มันบ้าไปแล้ว...บ้าที่สุด !!
เขานี่แหละบ้าไปแล้ว ทำไมจะต้องเสียเวลาเดินตามหาคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
ทั้งที่ตัวเองก็มีเรื่องที่สมควรจะทำในวันนี้ แล้วไอ้ตัวเปียกเละเทะทั้งๆ
ที่มีร่มอยู่ในมือมันไม่ได้น่าอภิรมย์ไปกว่าการยืนรอให้ฝนหยุดตกสักนิด
“โธ่เว้ยยยย !!” เมื่อทั้งหาคนไม่เจอ
ทั้งหงุดหงิดกับการกระทำของตัวเอง เท้าเล็กเลยสะบัดใส่แอ่งน้ำที่มันเอ่อมาตรงเท้า
ใบหน้าเรียวยู่ลง ริมฝีปากอิ่มถูกกัดเข้าหากันอย่างขัดใจ เขามาทำบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย
คนที่ผมลู่ลงเพราะไอฝนเบะปากแล้วหลับตาลง
ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ไม่ใช่เขาไม่แคร์คน
แต่ว่าตรงนี้มันก็ไม่ได้มีผู้คนที่จะให้เขาแคร์แล้ว กลางฝนตกที่หนักแบบนี้
จะมีใครที่ทะเล่อทะล่าออกมาท้าฝนบ้าง
ไม่มี...
“นั่งดูน้ำฝนมันสนุกนักรึไง?” คำถามแปลกๆ ที่ได้ยินเหนือหัว พาให้ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
ก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจนร่มไปกระแทกกับอะไรบางอย่าง
แล้วร่างเล็กใต้ร่มคันใหญ่ก็ค่อยหันหลังกลับมามอง
...อย่างประหลาดใจ
เสียงหัวเราะที่ไม่สดใสดังขึ้นกลางเสียงสายฝนที่เทลงมา
คนผมเงินยกมือขึ้นลูบเรือนผมตัวเองแล้วขยี้ไปมาก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ...วันนี้เขาประหลาดใจมากเกินไปหรือเปล่า
เขาควรจะชินกับเรื่องแปลกๆ ที่มันเกิดขึ้นในเวลาที่เขาได้พบเจอกับเจ้าสีดำ
ร่างสูงโปร่งดวงตาเรียวคมที่สีดำเหมือนกับเส้นผมและชุดยูนิฟอร์มที่มันลู่ลงเพราะโดนฝนเข้าเต็มๆ
คนที่โดนน้ำฝนเข้าไปทั้งตัวจ้องหน้าคนที่ฉีกยิ้มด้วยใบหน้ามู่ทู่แล้วถอนหายใจออกมา
ฝนที่มันตกหนักขนาดนี้...เขาไม่คิดว่านอกจากเขาแล้วจะมีใครที่ไหนที่จะฝ่าฝนออกมา
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะคิดผิด
แค่สายตามันบังเอิญไปเห็นร่มสีดำกลางสายฝน
เป็นร่มสีเดียวกับที่เขาเห็นมันวางอิงกับผนังอาคาร
เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นคันเดียวกัน และการที่เขาเดินเข้ามาดู
ไม่ได้แปลว่าเขากำลังคาดหวังว่าคนใต้ร่มคันนี้จะเป็นเจ้าตัวเล็กน่ารำคาญ
แต่อยู่ๆ
ที่ร่มคันนี้ก็ลดระดับลงแทบติดกับพื้นเพราะคนถือนั้นทรุดตัวลง
มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเฝื่อนถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้นึกถึงคนผมเงินที่อยู่ๆ
อยากจะนั่งก็นั่งเอาซะดื้อๆ
“นาย...มาได้ไง...? นายไปอยู่ที่ไหนมาวะ
ไอ้เจ้า..ไอ้เจ้าบ้า !!” คำถามแผ่วเบา แต่ในตอนท้ายกลับเป็นเสียงตะคอกพาให้ร่างสูงนิ่วหน้า
“แล้วจะไปยืนตากฝนให้มันได้อะไรมาเล่าฟระ
เข้ามาเซ่ะ!!” มือเล็กเอื้อมไปดึงตัวคนที่ยืนทำหน้าเดียวอยู่นอกร่ม
ถึงมันจะเปียกไปแล้วเต็มตัวก็เถอะ ให้เข้าร่มสมกับค่าเหนื่อยของเขาก็ยังดี
ใต้ร่มคันนี้มันยังมีพื้นที่ว่างพอ
อยากจะขอสักคนเข้ามาอยู่กับฉัน
อยู่ด้วยกัน ท่ามกลางหยดฝน
“ไหนบอกว่ามีเรื่องที่ต้องทำ
แล้วมาเดินตากฝนแบบนี้มันใช่เรื่องรึไง?” เสียงนิ่งๆ
ที่เอ่ยถามออกมาพาให้คนโดนถามจิ๊ปากแล้วหันหน้าไปมองคนข้างๆ ที่เดินกอดอกอยู่
เสื้อสูทสีดำนั้นมาพาดอยู่บนแขนแทนที่จะคลุมที่ตัว
“...ก็เพราะใครกันเล่าฟระ
แล้วเปียกขนาดนี้ทำยังไงก็ออกมาห่วยแตกอยู่ดีนั่นแหละ” ตวัดเสียงด้วยความโมโหเล็กๆ
ไม่ได้รู้ตัวเลยนะว่าที่เขาเปียกโชกไปทั้งตัว
แล้วธุระที่ต้องทำก็ไม่ได้ทำมันเป็นเพราะใคร หมั่นไส้โว้ยยย ! ไอ้เจ้าบ้า...
“เออ นายชื่ออะไร?” เพิ่งจะมารู้สึกเมื่ออยากจะด่าแต่ไม่รู้จักชื่อ
เหมือนจะความรู้สึกช้า
แต่เขาวิ่งหาคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อกลางสายฝนเนี่ยเหรอ
ฮ่ะ...บางทีคนที่บ้ามันอาจจะเป็นเขาก็เป็นได้
คนถูกถามชื่อมองคนที่แสดงสีหน้าออกมาว่ากำลังคุยกับตัวเองแล้วส่ายหน้า
เขาส่ายหน้าให้กับคนคนนี้กี่ครั้งกัน “ฮิบาริ เคียวยะ”
ตอบออกมาเสียงนิ่ง ไม่มีการถามกลับอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ว่าคนฟังก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจมารยาทเหล่านี้สักเท่าไร
“ฮิบาริ...ฮิบาริ เคียวยะเหรอ?” ชื่อคุ้นๆ เหมือนกับว่าเคยได้ยิน ไม่สิ...เรียกว่าชื่อนี้มันเข้าหูเขาบ่อยต่างหาก
เข้าหูบ่อยๆ ก็คงจะไม่พ้นจากรั้วโรงเรียน
เพราะเจ้านี่คงไม่ดังกระฉ่อนขนาดออกสื่อหรอกน่า...ถ้าโรงเรียน...อื้มม...ฮิบาริ
เคียวยะ ...รักษาระเบียบ...เฮ้ย !!!
“ประธานรักษาระเบียบงี่เง่านั่นน่ะเหรอ !?”
ตะโกนถามออกมาด้วยความตกใจจนแทบจะปล่อยร่มหลุดจากมือ
เมื่อความเงียบคือคำตอบ ร่างเล็กก็ใช้เวลาขณะนั้นประมวลผลคำพูดตัวเองอีกรอบ
บางทีปากเขาก็ตรงกับความคิดไปบ้าง
“งี่เง่างั้นเหรอ ? โกคุเดระ
ฮายาโตะ...” ตาคมกริบหันมามองคนที่ยืนข้างๆ
รวมกับน้ำเสียงเย็นเฉียบพาให้เจ้าของชื่อเสียววาบ แต่ความกลัวก็ต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เขารู้สึกมาทั้งวันนั่นก็คือ...ประหลาดใจ
เจ้าประธานกฎเกณฑ์งี่เง่านี่รู้จักชื่อของเขาด้วยเหรอ ?
“นายบอกชื่อฉันไปแล้ว” ตอบคำถามที่ไม่ได้ถาม
“ตอนไหนฟระ ? ยังไม่ได้บอก”
ไม่มีคำต่อล้อต่อเถียง
มีแต่สายตาที่ส่งมาว่าให้หุบปาก ก็พาให้ความหงุดหงิดปนงุนงงนั้นจุกอยู่ที่ลำคอ
เออ...เขาอาจจะบอกชื่อไปแล้วก็ได้มั้ง ตามใจเว้ย !
เสียงฮึดฮัดที่ดังออกมาเบาๆ
พาให้ฮิบาริมองร่างเล็กที่ถือร่มอยู่ด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่
แล้วสายตาก็ต้องแปรเปลี่ยนไปเมื่อถูกดวงตากลมๆ
นั้นสบเข้าให้พร้อมกลับเสียงหงุดหงิดที่เจืออยู่กลายๆ
“จะยิ้มทำไม...เอ่อ...”
เป็นอีกครั้งที่โกคุเดระต้องกลืนคำพูดตัวเองลงคอ
ในเมื่อใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ยังคงความโมโนโทนอยู่เช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่ว่าเขารู้สึกจริงๆ
นะ...รอยยิ้มของคนที่เดินอยู่ข้างๆ น่ะ
ร่มคันนี้ มันมีไว้สำหรับคนสองคน
ไม่ว่าลมฝนจะพัดกระหน่ำ สักเพียงไหน
ถ้ามีคนเดินไปด้วยกัน ก็คงอุ่นใจ
El Fin
อรั้ย ทั่นฮิขา ที้ไม่เอาร่มไปน่ะพราะตั้งใจจะให้หนูก๊กใช้ใช่มั๊ยคะ ทำไมไม่บอก ๆ เค้าไปเลยล่ะ จะได้เดินออกไปพร้อมกันใต้ร่มคันเดียวกันตั้งแต่แรก
ReplyDeleteแล้วก็น้า หนูก๊กลูก ที่หนูรู้สึกนั่นน่ะ หนูไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ พ่อตาดำเค้ายิ้มให้หนูอยู่จริง ๆ ยิ้มในใจไง (((>_<)))
อรั้ย กลับมาอ่านอีกรอบก็ยังคงความฟินเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลงเลย สู้ ๆ นะคะคุณฟาร์ม ^^